โลกเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยะจักรวาลเกิดขึ้นเมื่อประมาณ
4600 ล้านปีมาแล้ว กลุ่มก๊าซในเอกภพบริเวณนี้
ได้รวมตัวกันเป็นหมอกเพลิงมีชื่อว่า“โซลาร์เนบิวลา”(Solar Nebula)แรงโน้มถ่วงทำให้กลุ่มก๊าซยุบตัวและหมุนตัวเป็นรูปจาน
ใจกลางมีความร้อนสูงเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบฟิวชั่นกลายเป็นดาวฤกษ์ที่ชื่อว่าดวงอาทิตย์
ส่วนวัสดุที่อยู่รอบๆมีอุณหภูมิต่ำกว่ารวมตัวเป็นกลุ่มๆ
มีมวลสารและความหนาแน่นมากขึ้นเป็นชั้นๆ และกลายเป็นดาวเคราะห์ในที่สุด
นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์ว่า
องค์ประกอบต่างๆภายในโลกไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันตลอด
โดยสามารถแบ่งโครงสร้างของโลกตามคุณสมบัตืทางกายภาพออกเป็น 5 ชั้น ได้แก่
ภาพการกำเนิดโลก
โครงสร้างของโลก
การศึกษาโครงสร้างภายในของโลก
โดยศึกษาการเดินทางของ “คลื่นซิสมิค” (Seismic waves) ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ
1.คลื่นปฐมภูมิ (P wave) เป็นคลื่นตามยาวที่เกิดจากความไหวสะเทือนในตัวกลางสามารถเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางได้ทุกสถานะและมีความเร็วมากกว่าคลื่น
S โดยมีความเร็วประมาณ 6 – 8 กิโลเมตร/วินาที
คลื่นปฐมภูมิทำให้เกิดการอัดหรือขยายตัวของชั้นหิน
2.คลื่นทุติยภูมิ (S wave) เป็นคลื่นตามขวางที่เกิดจากความไหวสะเทือนในตัวกลางสามารถเคลื่อนที่ผ่านได้เฉพาะตัวกลางที่เป็นของแข็ง คลื่นทุติยภูมิมีความเร็วประมาณ
3 – 4 กิโลเมตร/วินาที คลื่นทุติภูมิทำให้ชั้นหินเกิดการคดโค้ง
ภาพคลื่น P และ S
ขณะที่เกิดแผ่นดินไหว(Earthquake)จะเกิดแรงสั่นสะเทือนขยายแผ่จากศูนย์เกิดแผ่นดินไหวออกไปโดยรอบทุกทิศทุกทาง
เนื่องจากวัสดุภายในของโลกมีความหนาแน่นไม่เท่ากัน และมีสถานะต่างกันคลื่นทั้งสองจึงมีความเร็วและทิศทางที่เปลี่ยนแปลงไป
คลื่นปฐมภูมิหรือ P wave สามารถเดินทางผ่านศูนย์กลางของโลกไปยังซีกโลกตรงข้ามโดยมีเขตอับ(Shadow
zone)อยู่ระหว่างมุม100-140 องศา แต่คลื่นทุติยภูมิ หรือ S wave ไม่สามารถเดินทางผ่านชั้นของเหลวได้
จึงปรากฏแต่บนซีกโลกเดียวกับจุดเกิดแผ่นดินไหว โดยมีเขตอับอยู่ที่มุม120องศาเป็นต้นไป
ภาพการเดินทางของ P wave และ S wave ขณะเกิดแผ่นดินไหว
การแบ่งโครงสร้างของโลก
1.ธรณีภาค (Lithosphere) คือส่วนชั้นนอกสุดของโลก ชั้นนี้มีความลึกประมาณ 100
กิโลเมตร
จากผิวโลก ประกอบด้วยหินที่มีสมบัติเป็นของแข็ง
2.ฐานธรณีภาค (Asthenosphere) เป็นแมนเทิลชั้นบนซึ่งอยู่ใต้ชั้นธรณีภาคลงมาจนถึงระดับ
700 กิโลเมตร เป็นวัสดุเนื้ออ่อนอุณหภูมิประมาณ 600 – 1,000 องศาเซลเซียส
เคลื่อนที่ด้วยกลไกการพาความร้อน (Convection) มีความหนาแน่นประมาณ
3.3 กรัม/เซนติเมตร เป็นชั้นที่มีแมกมา
ซึ่งเป็นหินหนืดหรือหินหลอมละลายร้อน หมุนวนอยู่ภายในโลกอย่างช้าๆ
3.มีโซสเฟียร์ (Mesosphere) เป็นแมนเทิลชั้นล่างซึ่งอยู่ลึกลงไปจนถึงระดับ
2,900 กิโลเมตร มีสถานะเป็นของแข็งอุณหภูมิประมาณ 1,000 – 3,500 องศาเซลเซียส
มีความหนาแน่นประมาณ 5.5 กรัม/เซนติเมตร เป็นชั้นที่เป็นของแข็งร้อนแต่แน่นและหนืดกว่าตอนบน
มีอุณหภูมิสูงประมาณ 2,25024,500 องศาเซลเซียส
4.แก่นโลกชั้นนอก (Outer Core) อยู่ลึกลงไปถึงระดับ
5,150 กิโลเมตร เป็นเหล็กหลอมละลายมีอุณหภูมิสูง 1,000 – 3,500 องศาเซลเซียส
เคลื่อนตัวด้วยกลไกการพาความร้อนทำให้เกิดสนามแม่เหล็กโลก มีความหนาแน่น 10
กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร
5.แก่นโลกชั้นนอก (Inner Core) เป็นเหล็กและนิเกิลในสถานะของแข็งซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึง
5,000 องศาเซลเซียส ความหนาแน่น 12 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร
จุดศูนย์กลางของโลกอยู่ที่ระดับลึก 6,370 กิโลเมตร สนามแม่เหล็กโลก
การแบ่งโครงสร้างโลกทางกายภาพ
นอกจากที่กล่าวมาแล้วนักวิทยาศาสตร์ยังแบ่งโครงสร้างโลกจากลักษณะทางกายภาพและทางเคมีจากหินและสารต่างของโลกออกอีก 2 ส่วนได้แก่
เปลือกโลก (Crust)
เป็นเสมือนผิวด้านนอกที่ปกคลุมโลก แบ่งออกได้เป็น
2 บริเวณ คือ
- เปลือกโลกทวีป (Continental Crust) หมายถึง
ส่วนที่เป็นแผ่นดินทั้งหมด ประกอบด้วยธาตุซิลิคอนและอะลูมิเนียมเป็นส่วนใหญ่
มีสีจาง เรียกหินชั้นนี้ว่า หินไซอัล (sial) ได้แก่
หินแกรนิต ผิวนอกสุดประกอบด้วยดิน และหินตะกอน
- เปลือกโลกมหาสมุทร (Oceanic Crust) หมายถึง
ส่วนของเปลือกโลกที่
ปกคลุมด้วยน้ำ ประกอบด้วยธาตุซิลิคอนร้อยละ 40250 และแมกนีเซียมร้อยละ
50260 เป็นส่วนใหญ่ มีสีเข้ม เรียกหินชั้นนี้ว่า หินไซมา (sima) ได้แก่
หินบะซอลต์ติดต่อกับชั้นหินหนืด มีความลึกตั้งแต่5กิโลเมตร
ในส่วนที่อยู่ใต้มหาสมุทรลงไปจนถึง 70 กิโลเมตร
เนื้อโลก (Mantle)
อยู่ถัดลงไปจากชั้นเปลือกโลก ส่วนมากเป็นของแข็ง
มีความลึกประมาณ 2,900 กิโลเมตรนับจากฐานล่างสุดของเปลือกโลกจนถึงตอนบนของแก่นโลก
เป็นหินหนืด ร้อนจัด ประกอบด้วยธาตุเหล็ก ซิลิคอน และอะลูมิเนียม
แก่นโลก (Core)
แก่นโลกมีองค์ประกอบหลักเป็นเหล็ก
แก่นโลกชั้นใน (Inner core) มีความกดดันสูงจึงมีสถานะเป็นของแข็ง
ส่วนแก่นโลกชั้นนอก (Outer core) มีความกดดันน้อยกว่าจึงมีสถานะเป็นของเหลวหนืด
แก่นชั้นในมีอุณหภูมิสูงกว่าแก่นชั้นนอก พลังงานความร้อนจากแก่นชั้นใน
จึงถ่ายเทขึ้นสู่แก่นชั้นนอกด้วยการพาความร้อน(Convection) เหล็กหลอมละลายเคลื่อนที่หมุนวนอย่างช้าๆ
ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้า และเหนี่ยวนำให้เกิดสนามแม่เหล็กโลก (The
Earth’s magnetic field)
ภาพแก่นแม่เหล็กโลก
คลิปสรุปเนื้อหาโดยรวม





ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น